สิ่งที่ต้องรู้ของการนำเข้าปุ๋ยจากต่างประเทศ

เป็นที่ทราบกันดีว่า 1 ใน Targeted S Curve ของอุตสาหกรรมไมซ์ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญก็คือ “อุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ” ซึ่งปัจจุบันการเกษตรโลกได้พัฒนาก้าวหน้าไปมาก มีนวัตกรรมการปลูกพืชรวมทั้งเรื่องของ “ปุ๋ย” และสูตรเคมีต่างๆ เพื่อใช้เป็นธาตุอาหารสำหรับพืชที่เราปลูกในการเพิ่มผลผลิตให้งอกงามยิ่งขึ้น

ทว่า การนำเข้าปุ๋ยจากต่างประเทศไม่ใช่ว่าสามารถสั่งเข้ามาได้ตามปกติเหมือนสินค้าทั่วไป แต่จะต้องอยู่ในความควบคุมดูแลโดยสำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร กรมวิชาการเกษตร ซึ่งผู้นำเข้าปุ๋ยทุกคนจะต้องแจ้งก่อนนำปุ๋ยเข้ามาในไทย

ขั้นตอนการยื่นเรื่อง(ระยะเวลา 34 วันทำการ)

1. ผู้ยื่นขอนำเข้า ยื่นเอกสารแจ้งการนำเข้าปุ๋ยและเอกสารหลักฐานประกอบให้ครบถ้วน
2. หากสินค้าเกี่ยวข้องและต้องพิจารณาโดยหน่วยงานอื่น ให้เตรียมตู้สินค้า/สินค้าเพื่อการตรวจให้พร้อม
3. พนักงานตรวจสอบสุ่มเก็บตัวอย่าง และนำส่งตัวอย่างไปที่ห้องปฏิบัติการกลุ่มวิจัยเกษตรเคมีกองวิจัยพัฒนาปัจจัยการผลิตทางการเกษตร
4. เจ้าหน้าที่ตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างปุ๋ยเคมี และแจ้งผลไปที่ด่านตรวจพืชที่นำเข้า
5. อนุญาตให้นำเข้าสินค้าปุ๋ยได้

เอกสารประกอบ

1. หนังสือมอบอำนาจ กรณีดำเนินการแทน ให้ระบุขอบเขตอำนาจหน้าที่ ติดอากรแสตมป์ 10 บาท ใช้ครั้งเดียว 30 บาท ใช้ 1 ปี, เอกสารที่เป็นสำเนาให้รับรองสำเนาถูกต้องทุกฉบับ, สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนผู้มอบอำนาจ
2. บัตรประจำตัวประชาชน ฉบับจริง 1 ฉบับ
3. บัตรประจำตัวประชาชน หนังสือออกโดยสำนักงานเลขานุการกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ฉบับจริง 1 ฉบับ
4. แบบแจ้งนำเข้าปุ๋ยตามพระราชบัญญัติปุ๋ย พ.ศ. 2518 (แบบ นข.1) ฉบับจริง 1 ฉบับ
5. ใบขนสินค้าขาเข้าพร้อมแบบแสดงรายการภาษีสรรพสามิตและภาษีมูลค่าเพิ่ม ฉบับจริง 1 ฉบับ
6. ใบกำกับราคาสินค้าหรือบัญชีราคาสินค้า (Commercial Invoice) ฉบับจริง 1 ฉบับ
7. ใบกำกับการบรรจุหีบห่อสินค้า (Packing List) ฉบับจริง 1 ฉบับ
8. หนังสือรับรองแหล่งกำเนิด (Certificate of Origin) ฉบับจริง 1 ฉบับ
9. หนังสือรับรองผลการวิเคราะห์ (Certificate of Analysis) ฉบับจริง 1 ฉบับ
10.  ใบตราส่งสินค้า ฉบับจริง 1 ฉบับ
11.  ใบอนุญาตนำเข้าปุ๋ย (น.ป.2) ฉบับจริง 1 ฉบับ
12.  หนังสือสำคัญการแจ้งปุ๋ย ฉบับจริง 1 ฉบับ หรือใบสำคัญการขึ้นทะเบียนปุ๋ย
13.  ตัวอย่างเอกสารฉลากตามที่ขึ้นทะเบียน ฉบับจริง 1 ฉบับ

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่

ที่มา: สำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร กรมวิชาการเกษตร
รูปโดย: Freepik